EUDR กฎหมายการนำเข้าสินค้าปลอดการตัดไม้ทำลายป่าของสหภาพยุโรป
EUDR (EU Deforestation-free Regulation) เป็นข้อกฎหมายด้านการนำเข้าสินค้าที่ปลอดการตัดไม้ทำลายป่า ซึ่งในเดือนธันวาคม ปี 2022 สหภาพยุโรปและสมาชิกได้ลงมติเห็นชอบมาตรการหยุดยั้งการตัดไม้ทำลายป่าและความเสื่อมโทรมของป่าจากสินค้านำเข้า โดยกฎหมายใหม่นี้มีผลบังคับใช้มื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2023 ที่ผ่านมา มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มสัดส่วนสินค้าโภคภัณฑ์ที่ "ปลอดการตัดไม้ทำลายป่า" ในตลาดทั่วยุโรป และลดการปล่อยคาร์บอนจากสหภาพยุโรป
ข้อกำหนดของ EUDR ที่ผู้ประกอบการควรทราบ
เป็นกฎหมายที่ห้ามค้าขายเกี่ยวข้องกับการตัดไม้ทำลายป่า โดยกำหนดให้สินค้าที่นำเข้าและส่งออก จากสหภาพยุโยปต้องผ่านเงื่อนไขสำคัญ 3 ข้อ ดังนี้
1. ปราศจากการตัดไม้ทำลายป่า หมายถึง สินค้า วัตถุดิบ และผลิตภัณฑ์แปรรูปจากสินค้า 7 กลุ่ม ดังกล่าว ต้องไม่อยู่บนที่ดินตัดไม้ทำลายป่า
2. กระบวนการผลิตและแนวทางการปฏิบัติต้องถูกต้องตามกฎหมายของประเทศผู้ผลิต เช่น กฎหมาย ที่ดิน สิ่งแวดล้อม ป่าไม้ แรงงาน และภาษี เป็นต้น
3. ได้รับการตรวจสอบและประเมินสินค้าตามขั้นตอนที่สหภาพยุโรปกำหนด โดยผู้ประกอบการต้องส่ง รายงานการตรวจสอบก่อนจะนำเข้า หรือส่งออกสินค้า ซึ่งการตรวจสอบและการประเมิน ประกอบด้วยขั้นตอนต่างๆ ดังนี้
- การรวบรวมข้อมูลการผลิต เช่น ปริมาณ รหัสของสินค้า ประเทศที่ผลิต พิกัดของแปลงปลูก วันที่และระยะเวลาการผลิต รายชื่อซัพพลายเออร์ที่เกี่ยวข้อง หลักฐานที่แสดงว่าไม่ได้มาจาก การตัดไม้ทำลายป่า และหลักฐานที่แสดงว่ามาจากการปฏิบัติตามกฎหมาย
- การประเมินความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการตัดไม้ทำลายป่า ครอบคลุมประเด็นสิ่งแวดล้อมและ ธรรมมาภิบาล การไม่ละเมิดกฎหมายที่เกี่ยวข้องในกระบวนการผลิต โดยประเมินความเสี่ยง ออกมาในรูปของเอกสารและทบทวนอย่างน้อยทุกๆปี
- การบรรเทาผลกระทบ ในกรณีที่ตรวจพบความเสี่ยงจะต้องดำเนินการเพิ่มเติมทั้งในรูปของ จัดเตรียมข้อมูล เอกสารผลสำรวจ และมาตรการความเสี่ยงที่ยอมรับได้
ขอบเขตและกรอบเวลาการบังคับใช้ EUDR
1. ขอบเขตสินค้า ในระยะแรก EUDR บังคับใช้กับสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodities) 7 กลุ่ม ได้แก่ ยางพารา ปาล์มน้ำมัน วัว ไม้ กาแฟ โกโก้ และถั่วเหลือง รวมถึงผลิตภัณฑ์แปรรูปจากสินค้าเหล่านี้ (Derived products) เช่น ยางรถยนต์ เฟอร์นิเจอร์ กระดาษ เครื่องหนังสัตว์ สหภาพยุโรปจะทบทวนรายการสินค้าทุกๆ 2 ปี และจะขยายขอบเขตการบังคับใช้ให้ครอบคลุมรายการสินค้ามากขึ้นในอนาคต
2. ผู้ประกอบการที่เข้าข่าย เงื่อนไขและขั้นตอนการตรวจสอบ Due Diligence ของสินค้าที่กำหนดข้างต้น จะบังคับใช้กับ (1) กลุ่มผู้ผลิต ผู้นำเข้า และผู้ส่งออก และ (2) กลุ่มผู้ค้ารายใหญ่ (Non-SMEs traders) ในสหภาพยุโรป ซึ่งทั้งสองกลุ่มในห่วงโซ่อุปทานเดียวกันนี้ต่างมีส่วนทำให้สินค้าที่ครอบคลุมภายใต้ EUDR ออกสู่ตลาดสหภาพยุโรป ในขณะที่กลุ่มผู้ค้ารายย่อย (SMEs traders) แม้ไม่จำเป็นตัองจัดทำรายงาน Due Diligence แต่ต้องเก็บข้อมูลที่เกี่ยวกับห่วงโซ่การค้า รวมถึงหมายเลขอ้างอิงรายงาน Due Diligence จากซัพพลายเออร์ที่เกี่ยวข้องเพื่อเตรียมรายงานเมื่อมีการร้องขอ
3. ระยะบังคับใช้ กฎหมาย EUDR มีผลบังคับใช้แล้วเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2566 ที่ผ่านมา แต่สหภาพยุโรปได้กำหนดระยะเวลาเปลี่ยนผ่านอีก 18 เดือน จนกว่าจะเริ่มนำกฎหมายมาสู่การปฏิบัติ (Entry into application) สำหรับผู้ประกอบการรายใหญ่ ในวันที่ 30 ธันวาคม 2567 และให้เวลาปรับตัวเพิ่มเป็น 2 ปี ก่อนจะนำมาใช้กับกลุ่มผู้ผลิต ผู้นำเข้า และผู้ส่งออกรายย่อย (SMEs operator) ในวันที่ 30 มิถุนายน 2568
ที่มา : https://www.krungsri.com/th/research/research-intelligence/eudr-2023