ทิศทางพลังงานและจุดเริ่มต้นของการอวสานพลังงานฟอสซิล จากการประชุม COP 28

image

ทิศทางพลังงานและจุดเริ่มต้นของการอวสานพลังงานฟอสซิล จากการประชุม COP 28

               จากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ซึ่งเป็นปัญหาที่นานาประเทศตระหนักถึงความสำคัญมาอย่างยาวนาน หากย้อนไปกว่า 30 ปีก่อน ประชาคมโลกได้มีความพยายามร่วมกันในการจัดการกับปัญหาข้างต้นเป็นครั้งแรก ผ่านการลงนามภายใต้กรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (United Nations Framework Convention on Climate Change: UNFCCC) เมื่อปี 2535 ก่อนที่กรอบอนุสัญญาฯ จะมีผลบังคับใช้ในปี 2537 จากนั้นในปี 2538 การประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาฯ (Conference of Parties: COP) เกิดขึ้นเป็นสมัยแรก และประเทศต่างๆ ได้หารือกันผ่านเวทีการประชุมดังกล่าวเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน 

               ความก้าวหน้าครั้งสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ได้เกิดขึ้นในเวที COP21 ณ ประเทศฝรั่งเศส เมื่อภาคีทั่วโลกเห็นตรงกันและลงนามในความตกลงปารีส (Paris Agreement) ซึ่งกำหนดเป้าหมายในการควบคุมการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกให้ต่ำกว่า 2 องศาเซลเซียส (°C) เมื่อเทียบกับอุณหภูมิเฉลี่ยยุคก่อนปฏิวัติอุตสาหกรรม และพยายามควบคุมการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิไม่ให้เกิน 1.5 °C จากยุคก่อนอุตสาหกรรม ความตกลงปารีสได้สร้างกลไกให้แต่ละภาคีกำหนดทิศทางการจัดการกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่เรียกว่าเป้าหมายการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด (Nationally Determined Contribution: NDC) ซึ่งเปรียบเสมือนการให้คำมั่นสัญญา (Pledge) กับ UNFCCC ทุกๆ 5 ปี

               อย่างไรก็ตาม เมื่อปลายปี 2566 รายงานของโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Environment Programme: UNEP) ประเมินว่า ด้วยเป้าหมายที่ประเทศต่างๆ ให้คำมั่นสัญญาไว้ขณะนี้ อุณหภูมิของโลกอาจเพิ่มขึ้น 2.5 - 2.9 °C ในปี 2643 ซึ่งเกินกว่าระดับที่เห็นพ้องต้องกันในความตกลงปารีส ด้วยเหตุนี้ การประชุมภาคีสมัยที่ 28 ครั้งล่าสุด หรือ COP28 ที่ผ่านมา จึงถือได้ว่าเป็นการประชุมครั้งสำคัญ เนื่องจากมีจุดมุ่งหมายหลักเพื่อติดตามความคืบหน้าของการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศระดับโลก (Global Stocktake) เป็นครั้งแรก หลังจากความตกลงปารีส รวมถึงหารือแนวทางลดช่องว่าง ให้สามารถบรรลุเป้าหมายร่วมกันในการจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลก ซึ่งอาจนำไปสู่การปรับแผน แนวทาง ตลอดจนเป้าหมาย NDC ของแต่ละประเทศที่จะต้องจัดส่งอีกครั้งภายในปี 2568 ที่จะถึงนี้

               ในเวที COP28 รัฐภาคีจำนวน 198 ประเทศ ได้มีการเจรจาด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในหลากหลายประเด็น จนบรรลุฉันทามติสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE Consensus) ซึ่งสามารถสรุปข้อถกเถียงและผลลัพธ์ที่สำคัญได้ดังต่อไปนี้

  • การลดปริมาณก๊าซเรือนกระจก

                การศึกษาทางวิทยาศาสตร์ขององค์กรต่างๆ สะท้อนว่าการดำเนินการของโลกในขณะนี้ยังไม่เพียงพอที่จะบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ตามความตกลงปารีส ดังนั้น COP28 จึงได้เน้นย้ำการมุ่งไปที่เป้าหมาย 1.5 °C ด้วยการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลก 43% ภายในปี 2573 และ 60% ในปี 2578 เมื่อเทียบกับการปล่อยก๊าซฯ ในปี 2562 รวมทั้งตั้งเป้าเข้าสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ภายในปี 2593

               การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคพลังงาน ซึ่งแม้จะเป็นกิจกรรมที่ปล่อยก๊าซฯ มากที่สุด แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นภาคส่วนที่สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาลให้กับหลายประเทศ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่แต่ละฝ่ายจะเห็นตรงกัน โดยเฉพาะพลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิลที่กลุ่มประเทศที่ตั้งเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมไว้สูง (High Ambition Coalition: HAC) และนิวซีแลนด์ เรียกร้องให้ทยอยยุติการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลทั้งหมด (Phase out all fossil fuels) ในขณะที่สหภาพยุโรป สหราชอาณาจักร และสหรัฐฯ สนับสนุนการเลิกใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลที่ไม่มีการควบคุมการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เพียงพอ (Phase out unabated fossil fuels) ในขณะที่รัสเซีย และกลุ่มประเทศแถบแอฟริกา คัดค้านการยุติการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลทุกกรณี ส่วนกลุ่มประเทศ G77+China ซึ่งมีสมาชิก เช่น ซาอุดีอาระเบีย UAE รวมถึงไทย มีจุดยืนไม่สนับสนุนการเลิกใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล ท้ายที่สุดแล้ว ที่ประชุม COP28 ได้บรรลุมติครั้งประวัติศาสตร์ร่วมกันว่าโลกจะเปลี่ยนผ่านจากเชื้อเพลิงฟอสซิล (Transition away from fossil fuels) ซึ่งดูเหมือนเป็นข้อสรุปที่อยู่ตรงกลางระหว่างข้อเรียกร้องของแต่ละฝ่าย นอกจากนี้ ที่ประชุมยังเห็นควรให้ยุติการอุดหนุนเชื้อเพลิงฟอสซิลอย่างไม่มีประสิทธิภาพ รวมถึงลดการใช้ และจำกัดการผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินที่ไม่มีการควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอีกด้วย ดังนั้น แม้ว่ายุคหลัง COP28 จะยังไม่ใช่จุดสิ้นสุดของพลังงานฟอสซิลเสียทีเดียว แต่ก็นับเป็นจุดเริ่มต้นของการค่อยๆ ถอยห่างออกจากการพึ่งพาพลังงานที่ปล่อยคาร์บอนสูงไปพร้อม ๆ กัน

               สำหรับวาระที่เกี่ยวกับพลังงานทดแทน ได้ข้อสรุปว่าโลกจะพยายามเพิ่มกำลังการผลิตของพลังงานหมุนเวียนเป็น 3 เท่า ภายในปี 2573 ซึ่งหากพิจารณาสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนในปี 2565 ซึ่งอยู่ที่ 12.3% ของอุปทานพลังงานทั้งหมดของโลก แปลว่าสัดส่วนดังกล่าวต้องเพิ่มเป็นราว 37% ในปี 2573 ทั้งนี้ แม้เป้าหมายข้างต้นจะมีความท้าทายเพราะต้องลดการใช้พลังงานแบบดั้งเดิมลงอย่างรวดเร็ว แต่ในขณะเดียวกันก็ยังมีพื้นที่ให้พลังงานที่ปล่อยคาร์บอนสูงอีกถึงกว่า 60% สะท้อนว่าการเปลี่ยนผ่านจากพลังงานฟอสซิลคงต้องใช้เวลาพอสมควร นอกจากนี้ ที่ประชุมยังมีมติให้เพิ่มประสิทธิภาพพลังงานเป็น 2 เท่า ภายในปี 2573 และเร่งรัดการพัฒนาเทคโนโลยีคาร์บอนต่ำ ซึ่งรวมถึงการดักจับ ใช้ประโยชน์ และกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture, Utilization, and Storage: CCUS)

  • การชดเชยความสูญเสียและเสียหาย (Loss and Damage) ต่อภาวะโลกรวน

               การจัดตั้งกองทุนชดเชยการสูญเสียและความเสียหาย (Loss and Damage Fund) เพื่อช่วยเหลือกลุ่มประเทศเปราะบางที่ไม่สามารถรับมือกับผลกระทบจากภาวะโลกรวนได้ ซึ่งภาคีตกลงกันตั้งแต่วันแรกของการประชุมว่าจะเริ่มดำเนินงานกองทุนภายในปี 2567 นี้ โดยในช่วง 4 ปีแรก ธนาคารโลกจะเป็นองค์กรที่บริหารจัดการกองทุนนี้ ก่อนที่กองทุนฯ จะมีสถานะเป็นกองทุนอิสระภายใต้ UNFCCC ทั้งนี้ การให้ความช่วยเหลือทางการเงินจากกองทุนจะอยู่ในรูปแบบทั้งเงินให้เปล่า (Grant) และเงินกู้แบบผ่อนปรน (Concessional loan/soft loan) 

               COP28 มีมติอนุญาตให้ประเทศกำลังพัฒนาที่มีความเปราะบางสูงสามารถเข้าถึงเงินทุน แต่จะกำหนดสัดส่วนขั้นต่ำของการจัดสรรเงินช่วยเหลือแก่ประเทศพัฒนาน้อยที่สุด (Least Developed Countries: LDCs) และประเทศหมู่เกาะขนาดเล็ก (Small Islands) อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมยังไม่ได้กำหนดหลักเกณฑ์การสมทบเงิน เพียงแต่เชิญชวนให้รัฐภาคีแบ่งปันเงินเข้ากองทุนโดยสมัครใจ ซึ่งภายหลังการประชุมสิ้นสุด ประเทศต่างๆ ได้แสดงความมีน้ำใจเป็นเงินรวมกันกว่า 792 ล้านดอลลาร์สหรัฐ นับเป็นกองทุนที่ได้รับการสนับสนุนเงินมากที่สุดจากเวที COP28 โดยในจำนวนนี้มาจากเยอรมนี และเจ้าภาพ UAE ประเทศละ 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

  • การปรับตัวต่อภาวะโลกรวน

               ที่ประชุมมีมติเรียกร้องให้ประเทศต่างๆ ประเมินผลกระทบและความเสี่ยงด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศรวมถึงจัดทำแผนการปรับตัวระดับชาติ (National Adaptation Plan) ภายในปี 2568 และนำแผนไปสู่การปฏิบัติ ตลอดจนวางกลไกติดตามผลการดำเนินงาน ภายในปี 2573 สิ่งที่จำเป็นสำหรับการเตรียมความพร้อมและปรับตัวต่อภาวะโลกรวนคือเงินทุน ซึ่ง COP28 ได้ระบุความสำคัญในการขยายขนาดเงินทุนเพื่อการปรับตัวเพิ่มเป็น 2 เท่าของขนาดปัจจุบัน แต่ยังไม่ได้ระบุข้อผูกมัดของการสมทบเงินช่วยเหลือ อย่างไรก็ตาม จากการประชุม ภาคีได้ประกาศสมทบเงินเข้ากองทุนเพื่อการปรับตัว (Adaptation Fund) กว่า 188 ล้านดอลลาร์สหรัฐแล้ว

บทสรุปจาก COP28

               COP28 ปิดฉากลงไปด้วยบทสรุปสำคัญที่ว่า โลกจะ “เปลี่ยนผ่าน” จากการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล นับเป็นครั้งแรกที่นานาประเทศบรรลุข้อตกลงร่วมกันเรื่องเชื้อเพลิงฟอสซิลได้ อีกทั้งยังเห็นตรงกันว่าโลกควรจะเพิ่มสัดส่วนการพึ่งพาพลังงานทดแทนเป็น 3 เท่าภายในปี 2030 เพื่อเร่งรัดการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอันจะนำไปสู่เป้าหมายภายใต้ความตกลงปารีส  ดังนั้น จึงอาจกล่าวได้ว่า COP28 เป็นจุดเริ่มต้นของอวสานแห่งพลังงานฟอสซิล ซึ่งจะถูกแทนที่ด้วยพลังงานคาร์บอนต่ำ

               ปัจจุบันประเทศไทยอยู่ระหว่างการจัดทำ พรบ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ประกอบกับการริเริ่มการพัฒนากลไกและเครื่องมือต่างๆ เช่น มาตรการด้านภาษี หุ้นกู้/ตราสารหนี้สีเขียว ภาษีคาร์บอน ระบบซื้อขายสิทธิการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เป็นต้น เพื่อสนับสนุนให้ประเทศบรรลุเป้าหมาย Carbon Neutrality ภายในปี 2050 และ Net Zero Emission ภายในปี 2065

 

ที่มา: https://www.krungsri.com/th/research/research-intelligence/cop28-2024